วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทนำ

บทที่   1
                                                                    บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
             โรงเรียนเซนต์โยเซฟแม่ระมาดได้มีการฝึกทักษะชีวิตและให้กับนักเรียนในด้านการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและผู้เรียนได้เรียนรู้ฝึกทักษะอาชีพพื้นฐานการพึ่งตนเอง ผู้รายงานโครงงานจึงสนใจศึกษาการถักผ้าพาคอไหมพรมจากบล็อกไม้เพราะมีขั้นตอนในการทำที่ง่ายและยังเป็นงานอดิเรกที่สามารถทำได้ในเวลาว่างจากงานประจำ ทำขึ้นเพื่อการจำหน่ายเป็น อาชีพเสริมสำหรับผู้รับงานฝีมือแขนงนี้ ได้เป็นอย่างดี
การถักผ้าพันคอไหมพรมจากบล็อกไม้ พูดถึงเรื่องงานถักไหมพรม ไม่ว่าจะเป็นงานถักโครเชต์แบบดั้งเดิมหรืองานถักนิตติ้ง ปัจจุบันได้มีงานถักหลากหลายเข้ามาที่ทำได้ง่ายกว่าโครเชต์หรือนิตติ้ง เพื่อเอื้อให้กับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์งานถักมาก่อน ถักได้ทั้งเด็กเล็ก ทั้งหญิงและชายสามารถทำได้ง่าย และปัจจุบันนี้ก็ได้เป็นวิชาหนึ่งในชั้นเรียนก็มี  นั่นก็ถือ งานถักจากบล็อกไม้  ที่ทำได้ง่าย และได้งานเร็ว ถักออกมาได้หลายอย่าง อาทิเช่น หมอน  เสื้อ ผ้าห่ม ผ้าพันคอ ตุ๊กตา กระเป๋า หรือใครจะไปต่อยอดเป็นอย่างอื่นก็ทำได้แล้วแต่ใครจะคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่ากัน
               ลักษณะทั่วไปผ้าพันคอเอ่ยชื่อแค่นี้ก็ทำให้หลายคนนึกถึงผ้าพันคอปลอมหลายรูปแบบหลายชนิด นอกจากนี้ไหมพรมยังเป็นวัสดุที่สามารถนำมาทำอะไรได้หลายอย่างอีกด้วย  การถักผ้าพันคอไหมพรมจากบล็อกไม้เป็นผ้าพันคอที่สวย และที่สำคัญการถักผ้าพันคอยังสามารถสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้    วัตถุประสงค์
               1. เพื่อนำผ้าพาคอที่ถักจากไหมพรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์
               2. เพื่อศึกษาการทำผ้าพาคอไว้เป็นอาชีพเสริม
               3. เพื่อศึกษาขั้นตอน วิธีทำและการจำหน่ายสินค้า
               4. เพื่อศึกษาต้นทุน กำไร เพื่อใช้เป็นพื้นฐานการประกอบอาชีพ

เอกสารและแหล่งความรู้ที่เกี่ยวข้อง

บทที่  2
                                            เอกสารและแหล่งความรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.ตัวแปลที่ศึกษา
               1.1 ตัวแปลต้น         ไหมพรม
               1.2 ตัวแปลควบคุม      โคเชน    บล็อกไม้และ กรรไกร
               1.3 ตัวแปลตาม         สวยงามและแก้หนาวในฤดูหนาว

2.  เอกสารที่ใช้ในการศึกษา
              2.1 นิตยาสาร งานฝีมือ
              2.2 ตัวอย่างโครงงานการประดิษฐ์ดอกไม้จากผ้าใยบัว
              2.3 หนังสือการเย็บปักถักร้อย

3. แหล่งเรียนรู้ ที่ศึกษา ประเภทบุคคล และสถานที่
             3.1 นายสุคนธ์   ปวงดอกจี๋   ครูโรงเรียนเซนต์โยเซฟแม่ระมาด
            3.2 ร้านค้าในชุมชน

วิธีดำเนินงานตามโครงงาน

บทที่  3
                                                   วิธีดำเนินงานตามโครงงาน
                                                       เค้าโครงของโครงงาน
1.ชื่อโครงงาน    โครงงานอาชีพ     การถักผ้าพันคอจากบล็อกไม้
2.คณะผู้จัดทำ  
                   1.นางสาวสุรีย์            ทองแก้วกันทร
                   2.นางสาวศรีสุภา       กนกปิ่นทอง
                   3.นางสาวสุพรรษา    ชื่นสุขเลิศเกษม
                   4.นางสาวณัฐธิดา      หทัยผ่องใส
                   5.นางสาวศิริพันธ์      ศรีวนาตระกูล
3.ระยะเวลาในการจัดทำโครงงาน
                  19    ตุลาคม   -4   ธันวาคม    2558
4.เหตุผลในการทำโครงงาน
           ผู้จัดทำโครงงานได้รวมการศึกษาวิธีการทำ ผ้าพันคอ  เพราะเห็นว่าเป็นงานที่ฝึกง่ายและหาง่ายในท้องถิ่นและฝึกทักษะชีวีตบนพื้นฐานในการประกอบอาชีพ ครูที่ปรึกษากระตุ้นไห้เกิดความสนใจในการหารายได้เสริมและเห็นสินค้าตามร้านค้าในชุมชน จึงคิดต้องการทดลองถักผ้าพันคอนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพื้นฐานประกอบอาชีพหารายได้เสริม


5.วัตถุประสงค์ในการทำโครงงาน
              1.ต้องการฝึกทักษะการถักผ้าพันคอเพื่อนำไปประกอบอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้แก่ ครอบครัว
              2.เพื่อศึกษาขั้นตอนการถักผ้าพันคอ
              3.เพื่อศึกษาต้อทุน-กำไรใช้เป็นพื้นฐานการประกอบอาชีพ

6.ขั้นตอนในการจัดทำโครงงาน
            ขั้นตอนที่1.เลือกทดลองปฏิบัติสิ่งที่น่าสนใจ
            ขั้นตอนที่ 2.เตรียมหาแหล่งเรียนรู้
            ขั้นตอนที่ 3.เข้าสู่การวางแผน
            ขั้นตอนที่ 4.ทดลองปฎิบัติตามขั้นตอนที่ครูที่ปรึกษาคอยแนะนำอย่างสนุกสนาน
            ขั้นตอนที่ 5.ฝึกทักษะการเขียนรายงานอย่างมั่นใจ
            ขั้นตอนที่ 6.นำเสนองานและเผยแพร่งานอย่างมั่นใจและภูมิใจ
7.ผลที่คาดว่าจะได้รับ
             จากการฝึกทักษะการถักผ้าพันคอเพื่อนำไปใช้เป็นอาชีพเสริมรายได้ให้ครอบครัว
  และเป็นพื้นฐานของการประกอบอาชีพได้จริง

8.เอกสารและอ้างอิงและแหล่งเรีนรุ้ที่ใช้ศึกษา
              1.ใบความรู้เรื่องการฝึกทักษะชีวิตบนพื้นฐานความพอเพียง
              2.คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจาก อินเทอร์เน็ต และหนังสือเรียน

              3.คุณครุที่ปรึกษาในโรงเรียน นายสุคนธ์ ปวงดอกจี๋

ผลการศึกษาข้อมูล

บทที่ 4
ผลการศึกษาข้อมูล
             จากการศึกษาเรื่องการถัดผ้าพันคอเพื่อนำไปประกอบอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับ
ครอบครัวการถักผ้าพันคอคณะผู้จัดทำโครงงานสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
                       เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา

        




                                            
                                                               อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีไว้ใช้
                                                                                  
3.บล็อกไม้  
1.คู่มือ หรือหนังสือ 
 2.ไหมพรม 

 4.โคเชน
 5.กรรไกร
                                                                  

                   






ขั้นตอนการปฎิบัติถักผ้าพันคอไหมพรมจากบล็อกไม้
                วิธีการถักผ้าพันคอไหมพรมจากบล็อกไม้

                การถักผ้าพันคอไหมพรมจากบล็อกไม้
ขั้นที่ 1เริ่มต้นด้วยการวางเส้นไหมพรมสลับฟันปลาไป 1 รอบ แล้วเอาไหมพรมวางพาดตรงกลาง 1 เส้น (เพื่อป้องกันไม่ให้หลุด)
                          



ขั้นที่ 2 วางเส้นไหมพรมกลับไปกลับมาอีก 2 รอบ จะได้ไหมพรมเกี่ยวกับตะปูอยู่ 3 ชั้น




ขั้นที่ 3 ก็วางเส้นไหมพรมต่อไปเรื่อย ๆ


 เมื่อทำได้หลายรอบแล้วให้เอาปลายไหมพรมที่พาดไว้ตอนขั้นที่ 1 มามัดไว้ดังรูปภาพ







เมื่อทำได้ยาวพอสมควรก็เก็บด้ายท้ายที่เอาไหมพรมพาดไว้ตอนแรกด้วยการถักโซ่แบบโครเช แล้วตัดไหมพรมมาคล้องเป็นชายผ้าพันคอเมื่อได้ความยาวเป็นที่พอใจแล้วจะถอดไหมพรมจากตะปูสลับซ้ายหลักละ 2 เส้นไปรวบถักโซ่แบบโครเชตปิดท้ายด้วยนำไหมพรมมาคล้องเป็นชายผ้าอีกครั้ง

สรุปผลการดำเนินโครงงาน

บทที่ 5
สรุปผลการดำเนินโครงงาน
       จากการดำเนินงานนี้สรุปได้ว่า  กจิกรรมการประดิษฐ์การถักผ้าพันคอ สามารถสร้างรายได้และฝึกฝนประดิษฐ์มีความทดทน มีความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์ชิ้นงานที่หลากหลาย  ผู้เรียนรู้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างสร้างสรรค์  นำชิ้นงานเป็นของที่ระลึกหรือของฝาก  และสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้

              ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาโครงงานการถักผ้าพันคอจากไหมพรม  สามารถพัฒนาให้เป็นอาชีพเสริม

ภาคผนวก

ภาคผนวก

ภาพกิจกรรมการถักผ้าพันคอไหมพรมจากบล็อกไม้

ภาพกิจกรรมการถักผ้าพันคอไหมพรมจากบล็อกไม้















วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

“สงครามยุทธหัตถี” เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2135 ซึ่งเป็นการทำศึกสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยาและพม่า ซึ่งแม้ว่าศึกครั้งนี้อยุธยาจะมีกำลังพลน้อยกว่า แต่ก็สามารถทำสงครามชนะพม่าได้ในที่สุด
สงครามยุทธหัตถี เริ่มต้นที่พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงโปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารจำนวนมากถึงสองแสนสี่หมื่นคน เดินทางมาโจมตีกรุงศรีอยุธยาเพื่อหมายที่จะนำชัยชนะกลับเมืองหงสาวดีให้ได้ ซึ่งเมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่า กองทัพพม่าครั้งนี้ยกทัพมาอย่างยิ่งใหญ่มากกว่าครั้งที่ผ่านๆมา พระองค์จึงทรงสั่งให้เตรียมไพร่พลที่มีจำนวนถึงหนึ่งแสนคน โดยยกทัพออกจากบ้านป่าโมกไปสู่สุพรรณบุรี โดยข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และรับสั่งให้ตั้งค่ายหลวงในบริเวณหนองสาหร่ายเพื่อตั้งรับทัพของพระมหาอุปราชา
เมื่อถึงวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 ในเวลาเช้า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถก็ทรงเครื่องพิชัยยุทธและขึ้นช้างทรง โดยช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา ซึ่งหมายถึงช้างที่มีงา ที่ผ่านการฝึกให้รู้จักการต่อสู้ในสนามรบ หรือเคยผ่านสงครามชนช้างจนได้รับชัยชนะเหนือช้างตัวอื่นๆมาแล้ว โดยสมเด็จพระนเรศวรทรงช้างที่มีชื่อว่า “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ในขณะที่ พระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างที่มีชื่อว่า “เจ้าพระยาปราบไตรจักร”
แต่โชคร้ายที่ในระหว่างการรบ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรและพระสมเด็จพระเอกาทศรถเกิดตกมัน ทำให้ช้างทรงทั้งสองวิ่งไล่ตามพม่าจนหลงเข้าไปในดินแดนของพม่า ซึ่งขณะนั้นมีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่สามารถติดตามกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ไปทัน
สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นว่า พระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้ร่วมกับเหล่าท้าวพระยา จึงทราบความจริงว่าช้างทรงของสองพระองค์ ถลำลึกเข้ามาสู่ใจกลางของกองทัพพม่าแล้ว และบัดนี้ก็ยังตกอยู่ภายใต้วงล้อมของข้าศึกอีกด้วย แต่ด้วยพระไหวพริบปฏิภาณของสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งทรงเห็นว่า พระองค์กำลังเสียเปรียบข้าศึกอยู่ สมเด็จพระนเรศวรจึงไสช้างเข้าไปใกล้กับศัตรู แล้วตรัสถามด้วยความคุ้นเคยมาแต่วัยเยาว์ว่า “พระเจ้าพี่ เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกันเถิด จะได้เป็นเกียรติยศแก่แผ่นดินสืบไป เพราะภายภาคหน้าพระเจ้าแผ่นดินคงจะไม่ได้ทำยุทธหัตถีกันเช่นนี้อีกต่อไปอีก” ซึ่งการที่สมเด็จพระนเรศวรกล่าวเช่นนี้ ก็เนื่องจากในช่วงปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน ทำให้จารีตหรือประเพณีการออกศึกแบบเก่าๆ ที่เน้นพระปรีชาสามารถและบุญญาธิการของจอมทัพแต่ละฝ่าย กำลังจะถูกลบเลือนหายไป และนำเอาอาวุธยิงไกลที่มีอานุภาพทำลายล้างข้าศึกได้สูงเข้ามาแทนที่ ในช่วงการสงครามครั้งนี้ จึงเป็นการผสมผสานการต่อสู้ทั้งแบบการรบบนหลังช้าง และการใช้อาวุธยิงไกลตามแบบตะวันตกเข้ามาปะปนกัน
เมื่อพระมหาอุปราชาทรงได้ยินคำท้าดังนั้น พระองค์จึงรีบไสช้างที่มีชื่อว่า “พลายพัทธกอ” เข้าชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพทันที ทำให้เจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก ช่วงจังหวะนี้เอง พระมหาอุปราชาทรงใช้พระแสงของ้าวฟันสมเด็จพระนเรศวรอย่างแรง แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงพระองค์หลบได้ทัน และใช้พระแสงของ้าวฟันกลับไปที่พระมหาอุปราชา ซึ่งเป็นจังหวะที่เจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอจนเสียหลัก พระแสงของ้าวจึงต้องพระมาลาหนังขาด และฟันถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา ทำให้พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ทันทีบนคอช้าง
ในขณะที่สมเด็จพระเอกาทศรถ ก็ทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตทันทีเช่นกัน เมื่อเหล่าทหารพม่าเห็นว่าผู้นำของตนพลาดท่าเสียทีสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถแล้ว ก็จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวร จนพระองค์ได้รับบาดเจ็บ แต่ทันใดนั้น ทัพหลวงของไทยก็ตามมาช่วยไว้ได้ทัน จึงสามารถรับเอาทั้งสองพระองค์กลับสู่พระนครได้อย่างปลอดภัย ส่วนกองทัพพม่าก็จำเป็นต้องยกทัพคืนกลับสู่กรุงหงสาวดีไป
เรื่องเล่าที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นเรื่องเล่าจากพงศาวดารของไทย แต่หากสืบหาข้อมูลในมหายาชะเวงหรือพงศาวดารของพม่า ที่มีชื่อว่า ‘พงศาวดารฉบับอูกาลา และพงศาวดารฉบับหอแก้ว’ แล้ว เรื่องราวจะค่อนข้างผิดแผกไปจากพงศาวดารของไทยเป็นอย่างมาก โดยระบุไว้ว่า การทำยุทธหัตถีครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรบุกเข้ามาในวงล้อมของทหารพม่า ฝ่ายพม่าได้มีการยืนช้างเรียงเป็นหน้ากระดาน โดยมีตั้งแต่ช้างทรงของพระมหาอุปราชาและช้างของเจ้าเมืองชามะโรง เมื่อทหารของฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรได้ระดมยิงปืนใส่ทหารพม่า ทำให้เจ้าเมืองชามะโรงต้องสั่งเปิดผ้าหน้าราหูช้างของตนออ เพื่อไสช้างเข้าขวางหน้าป้องกันพระมหาอุปราชา โดยเข้าไปกระทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรแทน แต่ปรากฏว่าช้างของเจ้าของชามะโรงเกิดความผิดพลาดตกมัน และวิ่งเข้าใส่ช้างของพระมหาอุปราชาแทน พระมหาอุปราชาจึงจำต้องขับพระคชาธารเข้ารับไว้ จนทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้น และทันใดนั้นเอง ทหารไทยของสมเด็จพระนเรศวร กยิงกระสุนปืนลูกหนึ่งเข้าถูกพระมหาอุปราชา จนทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ทันทีบนหลังช้าง
ในขณะที่เรื่องเล่าตามพงศาวดารของชาติตะวันตก ก็มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ในสงครามยุทธหัตถีเอาไว้หลายบันทึก ยกตัวอย่างเช่น
– บันทึกของฝรั่งโปรตุเกสที่ชื่อว่า Mr. A. Macgregor ภายใต้ชื่อ “A Brief Account of the Kingdom of Pegu”  ยืนยันชัดเจนว่า สงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชาครั้งนี้ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งการต่อสู้กันในครั้งนี้เป็นการกระทำอย่างเป็นกิจจะลักษณะต่อหน้าเหล่าทหารหาญของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า ทั้งนี้ การทำสงครามยุทธหัตถีครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงมีพระราชสาส์นออกไปท้าพระมหาอุปราชา ให้พระองค์ออกมาร่วมกระทำยุทธหัตถีด้วยกันอย่างสมพระเกียรติ
– พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ. 2182 ที่แปลและเรียบเรียงมาจาก The Story History of the King of Siam ของ ดร.เลียวนาร์ด แอนดายา (Dr.Leonard Andaya) ซึ่งแปลมาจากต้นฉบับเดิมภาษาฮอลันดาของ “เยรามีส ฟาน ฟลีต” (Jeremias van Vliet) อีกที เรื่องราวในพงศาวดารฉบับนี้เล่าว่า สงครามยุทธหัตถีครั้งนี้เกิดการสู้รบกันที่บริเวณหนองสาหร่าย โดยขณะที่ต่อสู้กันนั้น ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมีขนาดเล็กกว่าช้างทรงของพระมหาอุปราชา  ทำให้ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรรู้สึกกลัวและเบนหัวหนี แต่สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงรับสั่งและปลอบขวัญช้างทรงตัวนั้น ซึ่งช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรก็สามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดี และจึงหันกลับไปสู้ศึกกับช้างทรงของพระมหาอุปราชาอีกครั้ง ในขณะที่กำลังต่อสู้กัน ช้างทรงของพระมหาอุปราชาเกิดถูกงวงของช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรฟาดเข้า ช้างตัวนั้นจึงร้องออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น ซึ่งเป็นผลให้พระมหาอุปราชาตกพระทัย สมเด็จพระนเรศวรจึงอาศัยจังหวะนี้จ้วงฟันพระมหาอุปราชาด้วยพระแสงของ้าว จนทำให้พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนหลังช้างในที่สุด
ไม่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะมีเรื่องราวอย่างไร อาจจะเป็นไปตามพงศาวดารของไทยหรือพงศาวดารพม่า หรืออาจเป็นการผสมผสานระหว่างเรื่องเล่าของทั้งสองชาติ แต่กล่าวโดยสรุปแล้ว กองทัพไทยของสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็สามารถมีชัยเหนือกองทัพพม่าของพระมหาอุปราชาได้อย่างสมบูรณ์ และสงครามครั้งนี้ก็เป็นที่โด่งดังไกลไปทั่วทุกแคว้น จนไม่มีกองทัพของอาณาจักรใดๆกล้ายกทัพเข้ามากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาได้อีกเป็นระยะเวลายาวนาน โดยกรุงศรีอยุธยาว่างเว้นสงครามกับพม่าได้อย่างยาวนานถึง 150 ปี